LE SCAPHANDRE ET LE PAPILLON : JEAN - DOMINIQUE BAUBY
เขียนโดย ฌ็อง - โดมินิก โบบี้
ผู้เขียนหนังสือเรื่องนี้เป็นอดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร ELLE แห่งฝรั่งเศส
เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตกกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว อวัยวะทุกส่วนไม่สามารถเคลื่อนไหว
นอกจากตาข้างซ้ายและสมองที่เป็นปกติ แต่ในเมื่อเขาไม่สามารถพูด ยกมือหรือแม้แต่นิ้วสักข้าง
คำถามคือคือ เขาเขียนหนังสือได้ยังไง?
การเขียนหนังสือด้วยวิธีพิเศษนี้ ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือขานอักษรทีละตัว
เพื่อให้ผู้เขียนเลือก เลือกทีละตัว ทีละตัว ประสมกันเข้าเป็นคำ
จากคำก็เป็นประโยค ทีละประโยค ทีละหน้า จนได้หนึ่งตอนรวมกันเป็นเล่ม---
ผู้ช่วยเหลือต้องขานตัวอักษรนับล้านครั้ง และผู้เขียนก็ต้องเลิกเปลือกตาซ้ายนับแสนหน
จึงจะได้หนังสือเล่มนี้ แต่ที่หนักหนาสาหัสสำหรับผู้เขียน ซึ่งพูดไม่ได้ กระดิกไม่ได้ก็คือ
เขาต้องคิดทุกสิ่งทุกอย่างให้พร้อมอยู่ในสมอง
เพื่อรอว่าจะเลือกอักษรตัวไหนสำหรับแต่ละคำ
ถ้าเขาเกิดลืมก็เป็นอันว่าต้องเสียเวลา หรือเขียนต่อไปไม่ได้
ความยากลำบาก ทุลักทุเล ความทุกข์ทรมานและอึดอัดใจ
เป็นเจ้าเหนือหัวของฅนทั้งสองเนิ่นนานกว่าสองเดือน
แล้วหลังจากนั้นหนังสือเล่มนี้ ก็สำเร็จเรียบร้อยอย่างน่าภูมิใจ
นับเป็นการท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษย์ผู้ไม่สามารถพูด
ไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกาย แต่ทว่าสามารถเขียนหนังสือได้สำเร็จ และเป็นหนังสือที่ดี
สำนักพิมพ์ผีเสื้อจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้อย่างประณีต พิถีพิถัน
เริ่มตั้งแต่การทำงานของผู้แปล ซึ่งเดินทางไปยังสถานที่เกือบทุกแห่งดังปรากฏในหนังสือ
พบปะสอบถามผู้เกี่ยวข้อง เขียนบทความเผยแพร่
เปิดการแถลงข่าว รวมทั้งบรรยายตอบข้อสงสัยต่างๆ แก่สื่อมวลชน
เพื่อให้เรื่องราวต่างๆ ในหนังสือนี้เป็นที่กระจ่าง---
หนังสือเล่มแรกในโลกที่เขียนด้วย 'ดวงตา'
สมุดบันทึกของโบบี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่จะเปิดมุมมองใหม่แก่คนผู้มีร่างกายครบสามสิบสอง
แต่กลับมองวันเวลาของชีวิตเป็นเรื่องซ้ำซาก ราวกับปรารถนาให้ชะตากรรมสุดสิ้นลง
โบบี้เล่าถึงคืนวันเก่า ญาติมิตร ความคิด และความฝัน เขาเล่าถึงเพลงประจำตัว
สถานที่ที่เคยเที่ยวไป อาหารที่ชอบ และรสนิยมหลายประการที่ไม่สามารถครอบครองได้อีกแล้ว
รสนิยมของโบบี้ได้สะท้อนสาเหตุที่ แอล กลายเป็นนิตยสารนำพายุแฟชั่นได้อย่างสง่าผ่าเผย
ถือเป็นหนังสือที่เกิดขึ้นจากความ พยายาม ล้วนๆ
ขนาดคนที่ขยับได้แค่เปลือกตาอ่ะ ยังสร้างสิ่งที่มีคุณค่าทิ้งไว้ให้แก่โลกเลย
คุณหล่ะ ครบ 32 แล้ววันๆทำอะไรบ้าง......น่าคิดน่ะ
0 comments:
Post a Comment